หน้า 1 จากทั้งหมด 1

วิธีการติดตั้ง Elastix 2.0 แบบแบ่งพาร์ติชั่น

โพสต์โพสต์แล้ว: 28 เม.ย. 2011 10:06
โดย nuiz
เปิดบริการ อบรม Issabel/FreePBX/Elastix ด้วยคอร์สพิเศษ ให้ติดตั้ง คอนฟิกคล่อง ใช้งานคล่อง ได้ใน 3 วัน
วิธีการติดตั้ง Issabel บน CentOS 7
เทคนิคการคอนฟิก Firewall เมื่อเปลี่ยนพอร์ต Web (http/https)
เทคนิคการคอนฟิก Firewall ให้เปิดรับบาง Port จากบาง IP

ผมเคยแนะนำ วิธีการติดตั้ง Elastix 2.0 ไปครั้งหนึ่งแล้วครับ แต่เป็นการติดตั้งแบบไม่ได้แบ่งพาร์ติชั่น (Partition) ของฮาร์ดดิสก์ ใช้ค่าดีฟอลท์ที่โปรแกรมติดตั้งเลือกให้เลย
บทความนี้จะเป็นการแนะนำวิธีการติดตั้ง Elastix แบบแบ่งพาร์ติชั่นนะครับ เพราะผมกำลังเขียนอีกบทความหนึ่งซึ่งจะแนะนำเทคนิคการทำ Elastix Cluster ซึ่งเราต้องกัน Partition ส่วนหนึ่งไว้เพื่อที่จะเอามาทำ Cluster ถ้าเราไม่กันพาร์ติชั่นไว้เราก็จะไม่มีพาร์ติชั่นว่างๆไว้ทำ Cluster ครับ
การแบ่งพาร์ติชั่นผมจะแบ่งออกเป็น 4 พาร์ติชั่น เป็น Primary ทั้งหมด แต่ในขั้นตอนติดตั้ง Elastix ผมจะแบ่งไว้แค่ 3 ที่เหลืออีก 1 จะทำหลังจากติดตั้ง Elastix เสร็จแล้ว วิธีการจะการกับพาร์ติชั่นที่ 4 มีอยู่ในบทความ Elastix Clusterนะครับ

** สำหรับท่านที่ได้ติดตั้ง Elastix และใช้งานไปแล้ว ไม่อยากติดตั้งใหม่เพื่อที่จะแบ่งพาร์ติชั่น ผมแนะนำให้ซื้อฮาร์ดดิสก์ใหม่อีกลูกนึงครับ ***

ขั้นตอนการติดตั้ง Elastix แบบแบ่งพาร์ติชั่น มีดังต่อไปนี้

1. ใส่แผ่นติดตั้ง Elastix 2.0 และเปิดเครื่อง
รอจนเห็นพร้อมท์แบบนี้

รูปภาพ

กดปุ่ม enter

รูปภาพ

2. เลือก Language
รูปภาพ

3. เลือก Keyboard layout
รูปภาพ

4. ยืนยัน
รูปภาพ

4. การแบ่งพาร์ติชั่น

รูปภาพ

เลื่อนมาที่ "Create custom layout" แล้วกด OK

รูปภาพ

จะเห็นเนื้อที่ว่างๆขนาด 15360MB ยังไม่ได้แบ่งเป็นพาร์ติชั่น ผมจะแบ่งเป็น 4 พาร์ติชั่น ดังนี้
/boot ขนาด 100 MB
/swap ขนาด 2048 MB
/ ขนาด 5120 MB เรียกว่า Root Partition เป็นที่ๆ CentOS และ Elastix จะติดตั้งโปรแกรมและไฟล์คอนฟิกไว้
ที่เหลืออีกประมาณ 8 GB ปล่อยไว้

** ผมทำบทความนี้ด้วยขนาดเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์ที่จำกัด ก็เลยแบ่ง Root Partition ไว้แค่นั้น ผมขออนุญาตแนะนำว่าถึงท่านมีฮาร์ดิสก์ขนาดใหญ่ๆ ไม่ว่าจะกี่ร้อยกิ๊ก หรือพันกิ๊ก ก็ตาม ให้แบ่ง Root Partition ไว้แค่ 30 - 50 GB ก็พอครับ ไม่ต้องมาก เนื้อที่ๆเหลือเราจะเอามาใช้เพื่อทำเป็น Cluster ไว้เก็บข้อมูลที่สำคัญๆ ส่วนขนาดของ /boot ก็ 100 MB ก็เหลือเฟือแล้วครับ ส่วน swap ก็ 2 GB ก็พอ ผมคอนเฟิร์ม

4.1 สร้าง /boot
กด New
รูปภาพ
Mount Point = /boot
File System type = ext3
Size (MB) = 100
[*] Force to be a primary partition
กด OK

4.2 สร้าง Swap
กด New
รูปภาพ
File system type = swap
Size (MB) = 2048
[*] Force to be a primary partition
กด OK

4.3 สร้าง /
กด New
รูปภาพ
Mount Point = /
File Sysem type = ext3
Size (MB) = 5120
[*] Force to be a primary partition
กด OK

ก็จะได้พาร์ติชั่นแบบนี้
รูปภาพ
เหลือ Free space อีก 8087 MB
กด OK

5. คอนฟิก IP address

รูปภาพ

เลือก Enable IPv4 support ส่วน IPV6 ไม่ต้องเลือกหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว
รูปภาพ

ใส่ IP address และ Subnet mask ควรจะเซ็ต IP แบบ Manual นะครับ เพราะถ้าเซ็ตแบบ Dynamic อาจจะเข้า Server ไม่ได้ถ้า IP เปลี่ยน
รูปภาพ

ใส่ IP address ของ Gateway และ DNS Server
รูปภาพ

ตั้งชื่อเครื่อง ผมตั้งชื่อว่า elastix-a
รูปภาพ

คอนฟิก TimeZone
รูปภาพ

ตั้ง Root Passwoard ตอนล๊อกอินด้วย Secure Shell (SSH)
รูปภาพ

6. ฟอร์แม็ตและก๊อปปี้ข้อมูลลงฮาร์ดดิสก์
โปรแกรมติดตั้งจะทำของมันเอง เรารอเฉยๆ
รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รอจนบูตเครื่องขึ้นมาอีกครั้ง

7. ตั้ง MySQL root password

รูปภาพ

พิมพ์พาสเวอร์ดซ้ำอีกครั้ง

รูปภาพ

8. ตั้ง Elastix web interface password

รูปภาพ

พิมพ์พาสเวอร์ดซ้ำอีกครั้ง
รูปภาพ

9. รอรีสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง
ก็จะเห็นพร้อมท์ล๊อกอิน

รูปภาพ

10. อัพเดท
โค้ด: เลือกทั้งหมด
yum -y update


ก็เป็นอันว่าติดตั้งผ่านไปด้วยดีครับ

บทความที่เกี่ยวข้อง
เปิดบริการอบรม Elastix ให้ติดตั้ง คอนฟิกใช้งานได้ใน 3 วัน
วิธีการติดตั้ง Elastix 2.5
วิธีการติดตั้ง Elastix 2.0
ขั้นตอนการเริ่มต้นใช้งาน Elastix
วิธีการติดตั้ง Elastix เวอร์ชั่น 1.6